โควิด23 ไวรัสล้างโลก (ชื่ออังกฤษ : SONGBIRD) ออกฉายเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 ถือเป็นหนังที่น่าสนใจเพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่หาญกล้าถ่ายทำในช่วงโควิดระบาดโดยผู้อำนวยการสร้างมากความสามารถอย่าง ไมเคิล เบย์ เจ้าของผลงานกับ A Quiet Place, Transformers, และ The Purge ผู้ที่หยิบยกเอาสถานะการณ์จริงในปัจจุบันมาสร้าง สถานที่ถ่ายทำคือลอสแองเจลิสที่ถูกล็อกดาวน์ ทำให้ภาพและฉากต่าง ๆ ในหนังออกมาสมจริง
เนื้อเรื่อง : เมื่อมีโควิดระบาดและยังไม่มีวัคซีนรักษา ผู้คนจึงเกิดป่วยล้มตายหลายร้อยล้านคน ชีวิตของผู้คนในเมืองเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่ายุคธรรมดาแบบใหม่หรือ New Normal เพราะเหตุการณ์นี้ได้เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตของผู้คนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งการจำเป็นต้องใส่หน้ากากเพื่อป้องกันเชื้อตลอดเวลา การกักกันและล็อกดาวน์สถานที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
เมื่อสถานะการณ์เริ่มเลวร้ายลงทุกขณะเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ประเทศจำต้องประกาศล็อกดาวน์ การจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนถูกจำกัดให้อยู่แต่ในบ้านเท่านั้น หากมีใครฝ่าฝืนเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจัดการได้ ประชาชนต้องตรวจวัดอุณหภูมิทุกเช้า และถ้าใครตรวจไม่ผ่านก็จะมีเจ้าหน้าที่มานำตัวไปส่งยังสถานกักกันแบบปิดที่เรียกว่า คิว-โซน (Q-Zone) ทำให้ผู้คนที่ติดเชื้อต้องถูกพลัดพรากจากครอบครัว จากคนรัก
สำหรับคนที่มีสัญลักษณ์เป็นป้ายข้อมือสีเหลืองซึ่งหมายถึงคนที่มีภูมิต้านทานคือผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปได้ในทุกที่ เช่นเดียวกับนิโก (เคเจ อาปา) ตัวเอกของเรื่องที่ทำงานเป็นพนักงานส่งของนิโกพบรักกับ ซาร่า (โซเฟีย คาร์สัน) แต่เนื่องจากโรคระบาดทำให้เขาทั้งสองคนไม่สามารถออกมาเจอกันได้
แล้ววันหนึ่งนิโกได้ทราบข่าวซาร่าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ เจ้าหน้าที่กำลังเดินทางมารับตัวเพราะสงสัยว่าซ่าร่า ไปยังสถานกักกันโรคเขาจึงพยายามทำทุกอย่างทุกทางเพื่อช่วยเหลือซาร่าให้รอดพ้นการจับกุมในครั้งนี้ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
หนังเรื่องนี้บอกเล่าเหตุการณ์และสะท้อนปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหากสถานะการณ์โควิดยังไม่ดีขึ้นหรือยังไม่มีวัคซีนรักษา ผู้คนต้องเรียนรู้ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้รอดพ้นจากโรคร้ายนี้ ในเรื่องถ้ามีอาการป่วยต้องถูกส่งไปอยู่ในสถานกักกันซึ่งมองแล้วก็เหมือนส่งเข้าคุกดี ๆ นี่เองเพราะโอกาสที่จะรักษาหายแทบไม่มี ถ้าติดเชื้อโอกาสตายมีสูงมากทีเดียว ถึงแม้ว่าสถานที่ที่ใช้รักษาโควิดในบ้านเราจะดูไม่เลวร้ายเหมือนในหนังก็ตามแต่ในใจก็แอบหวาดกลัวอยู่ถ้าในชีวิตจริงเราไม่สามารถควบคุมโรคได้และตัวไวรัสมีความรุนแรงเหมือนในหนัง
ต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดปลอดภัย เมื่อสิ่งต่างๆรอบตัวเปลี่ยนไป การพบปะพูดคุยสื่อสารจะเป็นวิธีการติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือและผ่านการวิดีโอคอลเท่านั้น ไม่สามารถออกไปพบปะพูดคุยต่อหน้าได้เหมือนเมื่อก่อน หากมีการพบเจอกันก็ไม่สามารถจับมือหรือแม้การกระทั้งโอบกอดกันได้เหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้การออกจากบ้านถือเป็นความผิดและมีโทษ ช่างดูโหดร้ายเสียเหลือเกิน ลองคิดดูว่าในชืวิตจริงถ้าเราต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านตลอด 24ชั่วโมงไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ ระดับความเครียดจะเพิ่มได้มากขนาดไหน เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของชีวิตในยุค New Normal อย่างแท้จริง
ภายใต้ข้อจำกัดหลายๆอย่างทั้งเรื่องงบก่อสร้าง เวลาที่กระชั้นชิด รวมทั้งการจำกัดจำนวนของบุคลากรในกองถ่าย ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มียาวไม่มากและยังใช้เวลาในการถ่ายทำไม่นาน แต่ก็ยอมรับว่าสามารถทำออกมาได้ค่อนข้างดี หนังหยิบยกเอาเรื่องจริงผูกรวมกับเรื่องในอนาคตที่จำลองเอาไว้ภายใต้การจำลองสถานะการณ์อันเลวร้าย การแก่งแย่งเพื่อเอาชีวิตรอดและความหวาดกลัวของผู้คนมาสร้างได้ถูกที่ถูกเวลาซะเหลือเกิน บวกกับการเพิ่มความรุนแรงของเชื้อไวรัสเป็นโควิด 23 ที่สามารถสร้างความเสียหายให้เกิดกับร่างกายอย่างรุนแรงยิ่งเป็นการเพิ่มความน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก โควิด 23 ไวรัสล้างโลกจึงเป็นหนังที่เข้ากับสถานการณ์จริงในปัจจุบันโดยเฉพาะในปี 2022 ซึ่งไวรัสมีพัฒนาการที่เร็วและหลากหลายมาก จึงทำให้ผู้ชมอินและสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของไวรัสในเรื่องได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้จะมีบางตอนหรือบางตัวละครดูน่ารำคาญไปสักหน่อยแต่โดยภาพรวมแล้วก็เป็นหนังดีดูได้เพลิน ๆ อีกเรื่องหนึ่ง
มีฉากไล่ล่าลุ้นระทึกฉากแอคชั่นและถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ถึงขั้นบู๊ล้างผลาญจนบ้านเมืองพังพินาศชิบหายวายป่วงเหมือนผลงานที่ผ่านมาตามสไตส์ผู้กำกับคนดังก็ตาม แต่หลัก ๆ ยังคงเป็นความรักโรแมนติกระหว่างพระเอกนางเอก โดยสิ่งที่ผู้ชมจะเห็นในเรื่องนี้คือการแสดงออกถึงความรักของพระเอกที่มีต่อนางเอกที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยหญิงคนรักไม่ให้ถูกจับกุมที่ถึงแม้จะถูกสถานการณ์บังคับให้ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ก็ตาม ภายในความรักนั้นคือความหวัง เช่นเดียวกับความหวังของทุกคนบนโลกในการที่จะผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้
แชร์ได้เลยเพียงกดเบา ๆ