007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ (No Time to Die) – ภาคปิดท้าย 007 ที่สมบูรณ์แบบ

แชร์ได้เลยเพียงกดเบา ๆ

เนื้อเรื่องย่อ – เจมส์ บอนด์ (แดเนียล เคร็ก) กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะ เฟลิกซ์ เลเตอร์’ (เจฟฟรีย์ ไรท์) เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงานโดยมีเป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ในตอนแรกบอนด์ได้ปฏิเสธเพราะอยากมีช่วงเวลาส่วนตัวแต่เมื่อรู้ว่า โนมิ (ลาชานา ลินช์) กำลังจะมาเป็นสายลับ 007 คนใหม่ ทำให้เขาต้องกลับมารับงานอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเค้าได้เข้าสู่สถานการณ์จริงจึงได้พบว่าเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ

007 No Time To Die
007 No Time To Die

สรุป – เจมส์ บอนด์ เวอร์ชัน แดเนียล เครก 4 ภาค เริ่มตั้งแต่ Casino Royale (2006), Quantum of Solace (2008), Skyfall (2012) และ Spectre (2015) จนมาถึงภาคว่าสุด No Time to Die (2021) โดย 007 No Time to Die ภาคล่าสุดนี้จะเป็นภาคส่งท้ายให้กับ แดเนียล เครก กับบทของสายลับ เจมส์ บอนส์ ซึ่งเขาเป็นคนเดียวที่มีโอกาสได้บอกลาบทเจมส์ บอนส์ หลังจากต้องเลื่อนฉายเพราะโควิดเป็นเวลานาน

และตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราๆท่านๆทั้งหลายโดยเฉพาะแฟนๆของเจมส์ บอนส์ จะได้ชมกันเสียที ในภาคนี้หนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 43 นาที ซึ่งก็คงจะเป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่าแฟนๆที่จะได้เพลินเพลินกันแบบยาวๆเกือบ3ชั่วโมงในภาคนี้ขนมาแบบจัดเต็ม ทั้งแอคชั่นสุดมันสุดดุดัน ลุ้นแทบนั่งไม่ติด ถึงกับลืมหายใจหายคอกันเลยทีเดียว ไหนจะฉากดราม่าสุดสะเทือนใจอีกเรียกว่าครบรสค่ะ

Daniel Craig 007 No Time To Die

สำหรับฉากแอ็กชั่นในภาคนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะขนกันมาแบบจัดเต็มพร้อมนำเทคโนโลยีอาวุธแปลกๆ บวกกับศิลปะการป้องกันตัวสไตส์บู๊ ดุดัน พร้อมด้วยฝีมือการแสดงระดับแดเนียลแล้ว รับประกันระดับความมันส์แบบจุก ๆ รวมถึงการได้พาโลมา (อนา เดอ อาร์มาส) สายลับชาวคิวบาในลุคสาวสวยน่ารักสุดเซ็กซี่และบทบาทของเธอมีความโดดเด่นไม่น้อยกับการที่ต้องเป็นผู้ช่วยของสายลับ 007 คอยช่วยเขาให้ทำภารกิจให้สำเร็จ มาเพิ่มสีสันให้กับภาคนี้ได้อย่างดีทีเดียว

Daniel Craig

หนังวางเรื่องได้ค่อนข้างสลับซับซ้อน มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นแบบเกินคาดคิด ตัวละครหลายตัวไม่น่าไว้วางใจแม้กระทั้งแฟนสาวของบอนส์เอง ปัญหาของทั้งสองคนที่เกิดขึ้นจากการไม่ยอมพูดความจริงต่อกันจนเกิดความเข้าใจผิด
เมื่อบอนส์คิดว่าแฟนสาวเป็นคนที่หักหลังเขาในขณะที่เดียวกันตัวเขาเองก็ยังมีหน้าที่ต้องปกป้องโลกจากคนชั่ว ตัวร้ายของเรื่องอย่างซาฟิน (รามี แมลิก) ก็มีภูมิหลังที่ซับซ้อน แถมยังมีการวางแผนที่มีชั้นเชิงอีกด้วย ทำให้การสืบหาต้นต้อของเรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความฉลาดเป็นกรดของบอนส์ก็ทำให้การแก้ปมเหตุการณ์ต่าง ๆ จนถึงผลสรุปสุดท้ายดูสมเหตุสมผล

ส่วนตัวร้ายอย่างซาฟินที่ดูเผินๆเหมือนจะไม่ค่อยมีพิษสงอะไร แต่ในความไม่มีอะไรนี้แหล่ะที่มันดูน่ากลัว สิ่งที่ซาฟินทำกับบอนส์อย่างสุดแสนอำมะหิต เพราะมันส่งผลต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ยิ่งเป็นการตอกย้ำความทุกข์แสนสาหัสที่ตอกย้ำความเจ็บปวดให้จมลึกอยู่ในใจของบอนส์ไปตลอดกาลเลยทีเดียว

No Time To die

ในภาคนี้ที่เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของบอนส์และเมเดอลีนที่มากขึ้น ภาคนี้ตัวละครเมเดอลีนค่อนข้างจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่า บทของบอนส์จะเป็นนักฆ่าเลือดเย็นที่ฉลาดและไหวพริบโหดจัด ๆ แต่อีกด้านเขาคือก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรู้สึก รัก โกรธ แค้น เสียใจ และยังเจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีตที่ไม่สามารถลบมันออกไปได้ และเธอคนนี้จะเป็นคนเปิดเผยตัวตนของบอนส์ในด้านที่เราไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน

007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ ปิดฉากการเป็นเจมส์ บอนส์ แดเนียล เครก ได้อย่างสมบูรณ์และน่าประทับใจมากเลยทีเดียว

แชร์ได้เลยเพียงกดเบา ๆ

Leave a Comment