Peaky Blinders เป็นซีรีย์จาก Netflix ที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของแก๊งวัยรุ่นชื่อเดียวกันในสหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งมีอยู่จริงในช่วงปี 1890 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีถิ่นกำเนิดที่เมืองเบอร์มิงแฮม โดยซีรีย์เรื่องนี้เดิมถูกนำมาฉายในช่อง BBC Two ก่อนที่จะได้รับความสนใจจนมีเรตติ้งที่ดีและถูก Netflix ซื้อลิขสิทธิ์นำมาฉายต่อในภายหลัง
จุดเด่นของซีรีย์เรื่องนี้ที่หลายคนที่ได้ดูแล้วจะเข้าใจคืองานโปรดักชั่น งานสี ภาพและเสียงจัดว่าอยู่ในชั้นยอด การเลือกเพลงประกอบในแต่ละซีนคือลงตัวเข้ากับบรรยากาศและโฟลวเนื้อเรื่องมาก แต่นอกเหนือจากประเด็นเหล่านี้แล้ว ซีรีย์ Peaky Blinders ยังให้บทเรียนชีวิตที่ใช้ได้ในชีวิตจริงมาด้วย 5 ประการ มีอะไรบ้างเรามาดูกันครับ
- เลือกพันธมิตรและศัตรูด้วยความรอบคอบ – ที่สำคัญคือ “อย่าชกเกินกำลังตัวเอง” คำแนะนำนี้ไม่ได้มาจากความขี้ขลาดหรือบอกว่าให้งอมืองอเท้าเพราะ Peaky Blinders นั้นพูดถึงเรื่องราวของตระกูลมาเฟีย เมื่อคุณอยู่ในวงการนี้ความกล้าคือสิ่งจำเป็นและการต่อสู้คือเรื่องพื้นฐานที่คุณต้องทำ เพียงแต่สิ่งที่สำคัญคือรู้จังหวะและไม่ใช่ดาหน้าลุยไม่สนสี่สนแปดใด ๆ เลย ตรงกับคำแนะนำของซุนวูจากตำราพิชัยสงครามที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
เพราะการไปสู้กับคนที่ไม่ควรสู้ในเวลาที่ไม่เหมาะสมนั่นคือเราไม่รู้ทั้งเขาและเรา ในโลกความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในด้านธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว การเลือกพันธมิตรและศัตรูโดยรู้จักทั้งเขาและเราดีพอ รวมถึงมองสถานการณ์ในภาพใหญ่ออกอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างรุ่งเรืองสุดขีดและล่มสลายได้เลยทีเดียว
2. ไว้ใจได้แต่ให้จับตาดู – เคยมีผลสำรวจในสหรัฐอเมริกา โดยเก็บข้อมูลจากคนที่มีประสบการณ์เคยโดนหักหลังมาก่อนในหัวข้อประเภทบุคคลที่ทำการหักหลังและประเด็นที่ทำให้ถูกหักหลัง ในหัวข้อแรกประเภทบุคคลนั้นพบกว่ากว่า 67% การหักหลังนั้นเกิดจากคนใกล้ตัวที่ควรจะเป็นคนที่เราไว้ใจได้มากที่สุดแทบทั้งสิ้น เช่น ลูกน้องคนสนิทที่ทำงานด้วยกันมานาน เพื่อนสนิทที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน คนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาเกิน 10 ปี พี่น้องในสายเลือดหรือบางครั้งก็ถึงขั้นเกิดจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดโดยตรง เป็นต้น ส่วนประเด็นที่ทำให้ถูกหักหลังนั้นพบว่า 60% เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินทองหรือผลประโยชน์ทางธุรกิจ || 35% เป็นเรื่องเกี่ยวกับชู้สาว || ที่เหลือ 5% เป็นเรื่องความไม่พอใจอื่นรวม ๆ กัน
ในชีวิตจริงการไม่ไว้ใจใครเลยก็ทำให้ทำงานใหญ่ได้ยากหรือไม่สามารถทำได้เลย หรือทำให้เป็นโรคประสาทใช้ชีวิตยากไม่มีความสุขหากเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การไว้ใจมากเกินไปก็จะมีช่องให้โดนเสียบจากด้านหลัง ทางออกที่ดีที่สุดคือการเลือกที่จะไว้ใจแต่จับตาดู ไม่ได้ปล่อย 100% เพื่อลดโอกาสเกิดช่องว่างที่จะเร้าให้เกิดความอยากหักหลังจากอีกฝ่ายได้ง่าย แนวคิดนี้ใช้ได้ทั้งกับความสัมพันธ์ในด้านธุรกิจและส่วนตัว
3. การพัฒนาตนเองไม่มีวันจบสิ้น – ในวินาทีที่เราคิดว่าเรานั้นเก่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุดและพอใจในสิ่งที่เป็นโดยมีฐานความคิดว่า “เราไม่สามารถดีกว่านี้หรือโตกว่านี้ได้อีกแล้ว” นั่นคือวินาทีที่เราเริ่มถอยหลัง เพราะขณะที่เราอยู่เฉยคนอื่นกำลังเดินหน้า เมื่อเวลาผ่านไปจากผู้ตามจะเริ่มเข้าใกล้ เสมอกับเราและนำเราไปในท้ายที่สุด
แม้แต่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด คนที่ไม่ประมาทจะหาจุดที่ปรับปรุงเพิ่มเติมได้ว่าเราจะดีขึ้นกว่านี้อีกได้ยังไงหรือเราจะแก้จุดอ่อนเล็ก ๆ บางจุดที่เรามองข้ามไปได้ยังไง ในวงการกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเราจะได้เห็นทัศนคติแบบนี้จากผู้จัดการทีมชั้นนำแทบทุกคนไม่ว่าจะเป็นเป็ป กัวดิโอล่าหรือเจอร์เก้น คล็อปป์ แม้ในช่วงที่ทีมที่พวกเค้าคุมทำผลงานได้ดีก็จะไม่เหลิงทะนงตนโดยเด็ดขาด สิ่งนี้คือสิ่งที่แยกระหว่างผู้บริหารระดับทั่วไปและมืออาชีพออกจากกัน
4. เยือกเย็นได้แม้ในภาวะกดดันสุด – ในภาวะปกติไร้ความกดดันคนทั่วไปส่วนใหญ่สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม แต่คนเราจะเก่งจริงแค่ไหนสามารถวัดได้ดีที่สุดในภาวะวิกฤตฉุกเฉินที่มีความกดดันสูง มีตัวแปรมากและไม่มีความแน่นอนใด ๆ ในผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิด ขณะที่ทุกการตัดสินใจสามารถชี้เป็นชี้ตายได้ทันที สิ่งสำคัญที่แยกคนที่มีความเป็นผู้นำสูงออกจากคนทัวไปคือความสามารถที่หัวยังใช้คิดแก้ปัญหาต่อได้อย่างสุขุมแม้ใจร้อนรุ่ม เพราะไม่ใช่ทุกคนทำได้และการฝึกให้อยู่ในภาวะดังกล่าวได้เป็นเรื่องไม่ง่ายแม้จะใช้เวลาฝึกมากมายก็ตาม
หลายครั้งการตัดสินใจในภาวะฉุกเฉินโดยขาดความสุขุมนำมาซึ่งปัญหาและภาระตามมาภายหลังมากกว่าที่คิดไว้ เพราะโดยมากจะเป็นการตัดสินใจแบบที่ว่า “ตายดาบหน้า” แต่คนที่สุขุมจะยังมองเห็นภาพรวม ภาพใหญ่แม้เป็นการตัดสินใจภาวะนั้นก็ตาม คุณสมบัติข้อนี้ถือว่าสำคัญสุดสำหรับผู้นำหรือคนที่จะเป็นผู้นำทั้งในองค์กรธุรกิจหรือครอบครัว
5. มองภาพใหญ่ในทุกการตัดสินใจ – ข้อนี้เป็นคุณสมบัติสำคัญรองลงมาจากข้อสี่ การตัดสินใจทำการใด ๆ ที่มองเพียงผลลัพธ์ระยะสั้นและไม่สัมพันธ์กับภาพใหญ่เป้าหมายที่วางไว้เป็นเรื่องที่อันตราย เพราะมันอาจทำลายแผนงานทั้งหมดที่วางมาตั้งแต่ต้นลงได้เลยทีเดียว
แชร์ได้เลยเพียงกดเบา ๆ