Narcos เมื่อซีรีย์ค้ายาให้บทเรียนธุรกิจ 7 ประการ

แชร์ได้เลยเพียงกดเบา ๆ

หากกล่าวถึงซีรีย์ Narcos ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคเม็กซิโก (Narcos : Mexico) จนถึงภาคแยกเอล ชาโป (El Chapo) คนที่เคยได้ดูคงนึกถึงตัวละครหลักอย่างพาโบล เอสโคบาร์ (Pablo Escobar) ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ชื่อเสียงดังที่สุดในโลกคนนึงในประวัติศาสตร์วงการค้าขายโคเคนจนถึงปัจจุบัน

คงเป็นเรื่องแปลกที่จะบอกว่าวิถีการทำธุรกิจแบบพาโบลนั้นจะกลายเป็นบทเรียนทางธุรกิจได้ มีคนขายโคเคนมากมายแต่พาโบลเป็นคนเดียวที่สามารถคุมตลาดมากกว่า 80% ของโคเคนที่ขายในตลาดอเมริกาทั้งหมดในช่วงที่เค้าเรืองอำนาจ

Pablo Escobar
Wagner Moura หรือที่รู้จักกันในบทบาทของ Pablo Escobar จากซีรีย์ Narcos

หากเราตัดประเด็นว่าของที่เค้าขายคือโคเคนซึ่งผิดกฏหมายแล้ว วิธีการบริหารของพาโบลนั้นนับว่ายอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ไล่ตั้งแต่กลยุทธ์การเจาะตลาด การหาตลาดที่เหมาะสมเพื่อเริ่มต้น การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) รวมถึงการทำให้ธุรกิจเติบโตนั้นฉีกกฏหนังสือธุรกิจที่สอนกันมาแทบทั้งหมด

ในช่วงพีคสุดนั้นพาโบลสามารถทำเงินได้ถึง $20,000,000 หรือยี่สิบล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน!! นิตยสาร Forbes ถึงกับจัดอันดับให้เค้าเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 7 ณ เวลานั้นด้วยมูลค่าธุรกิจสุทธิ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

อะไรคือสิ่งที่ทำให้พาโบลประสบความสำเร็จได้ขนาดนั้น? เรามาดูบทเรียน 7 ประการกัน

  1. สินค้าที่คุณภาพเยี่ยมที่สุด – หนึ่งสิ่งที่พาโบลไม่เคยยอมประนีประนอมเลยคือคุณภาพสินค้า ในตลาดมีผู้ค้าโคเคนมากมายและเนื่องจากเป็นสินค้าที่สามารถดัดแปลงสูตรได้ผู้ขายบางรายจึงเลือกใช้วิธีลดต้นทุนโดยการลดคุณภาพของวัตถุดิบหรือความบริสุทธิ์ลงแต่เอสโคบาร์เลือกที่จะทำให้แตกต่างโดยคงคุณภาพของสินค้าไว้เพื่อทำกำไรได้ยาว ๆ

    ที่สำคัญคือเอสโคบาร์ไม่เคยเล่นสงครามราคา ขายแพงกว่าแต่ขายดีกว่า เหตุผลก็ตามคุณภาพสินค้า เนื่องจากตลาดอเมริกามีความต้องการมากทั้งปริมาณและคุณภาพ ของดีจึงไม่จำเป็นต้องขายถูกเพราะมันขายได้ด้วยตัวมันเอง
Pablo with Money
Pablo และเงินของเค้า

2. รู้จักตลาดดีพอ – เอสโคบาร์มั่นใจว่าสินค้าของเค้าเป็นชั้นหนึ่งไม่มีคู่แข่งด้านคุณภาพ ปัญหาเดียวคือเค้าสามารถขายในโคลัมเบียได้เพียงกรัมละ $10 เท่านั้นด้วยข้อจำกัดด้านกำลังซื้อ แต่เอสโคบาร์รู้ดีว่าสินค้าของเค้านั้นแท้จริงมูลค่ามากกว่านั้นมาก

เมื่อมองหาแล้วพบว่าอเมริกาโดยเฉพาะที่ไมอามี่เป็นตลาดที่น่าสนกว่ามากเพราะในปริมาณ 1 กรัมเท่ากันเค้าสามารถขายได้ถึง $500 ต่อกรัมเลยทีเดียว พาโบลวางแผนค่อย ๆ เจาะตลาดในอเมริกาอย่างแนบเนียนจนในที่สุดเค้าได้สร้างประวัติศาสตร์โคลัมเบียครองตลาดโคเคนในอเมริกาในท้ายที่สุด

Pablo Escobar
ภาพพาโบล เอสโคบาร์ตัวจริง จาก Twitter : @HISTORY_PICS

3. ชำนาญด้านการกระจายสินค้า – สิ่งหนึ่งที่ทำให้เอสโคบาร์ประสบความสำเร็จในตลาดอเมริกาได้นั้นคือเครือข่ายกระจายสินค้าที่ไม่เหมือนใคร เค้าสร้างเส้นทางขนส่งของตัวเองจากโคลัมเบียถึงอเมริกาโดยเริ่มจากเช่าเครื่องบินและคนขับเพื่อสร้างสนามบินส่วนตัวระหว่างที่คุมเส้นทางขนส่งผ่านแคริบเบียนและเม็กซิโกด้วย ด้วยโครงสร้างที่เชื่อมโยงกันหนึ่งเดียวของตัวเองนี้กลายเป็นช่องทางทำเงินผูกขาด มีอิทธิพลมากถึงขนาดที่ว่าคู่แข่งต้องยอมจ่ายเงินให้เอสโคบาร์เพื่อขอใช้เส้นทางนี้ส่งยาเข้าออกจากโคลัมเบียกันเลยทีเดียว

4. เอาพันธมิตรใกล้ตัวแต่เอาศัตรูมาใกล้ยิ่งกว่า – ข้อนี้อาจฟังดูแปลก ขัดแย้งและทำยากสำหรับหลายคนเพราะมันขัดกับคอมมอนเซ้นส์ แต่ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เอสโคบาร์ไม่เหมือนใคร

Pablo Escobar Allies
พาโบล เอสโคบาร์และพันธมิตรธุรกิจของเค้า

พาโบลได้รวมคู่แข่งเป็นหนึ่งเดียวทีมเดียวกันผ่านคำมั่นสัญญาว่าจะทำให้รุ่งเรืองเติบโตไปด้วย ขณะเดียวกันเค้าก็ใช้ความเกลียดชังของกลุ่มค้ายาที่มีต่อรัฐบาลโคลัมเบียในการโน้มน้าวให้คู่แข่งเหล่านี้ร่วมมือกับเค้าอีกด้วย แม้กระทั่งกลุ่มกาลี (Cali Cartel) คู่แข่งอันดับสองก็ยังยอมร่วมงานกับพาโบลภายใต้เงื่อนไขที่ว่าพวกเค้าสามารถใช้เส้นทางขนส่งของพาโบลได้

5. รู้จักสร้างภาพลักษณ์ – ความฝันสูงสุดของเอสโคบาร์ในช่วงเรืองอำนาจคือการได้เป็นประธานาธิบดีของโคลัมเบีย เพื่อสิ่งนี้เค้ารู้และเข้าใจดีถึงการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีกับสาธารณชน เอสโคบาร์สร้างแคมเปญการเมืองผลักดันตัวเองเข้าสู่สภาด้วยการแจกเงินของตัวเองให้แก่คนจนในสลัมมากมายถึงขนาดที่สื่อยกย่องว่าเค้าเป็นโรบินฮูดกันเลยทีเดียว

Pablo and Politics
พาโบลและชีวิตในด้านการเมือง

ความสำคัญคือเค้าไม่เคยลืมฐานกำเนิดของตัวเอง (เอสโคบาร์โตมาในครอบครัวที่ยากจน ในสลัมแบบเดียวกับที่เค้าไปแจกเงินให้) เค้าจึงช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนและได้รับการสนับสนุนจากคนเหล่านั้นเป็นการตอบแทน ชนิดที่ว่าแม้เค้าจะฆ่าคนหลายร้อยคนแต่ก็ยังได้รับความเคารพยกย่องจากคนโคลัมเบียจำนวนนึงจนถึงทุกวันนี้

6. ความเสี่ยงสูง กำไรยิ่งสูงกว่า – ธุรกิจมืดที่เอสโคบาร์ทำในช่วงเริ่มต้นนั้นเป็นเพียงแค่การลักลอบขนบุหรี่และเหล้าเถื่อนเท่านั้น ซึ่งถึงแม้กำไรจะดีแต่เทียบกับความเสี่ยงแล้วไม่คุ้ม ด้วยเหตุนี้เอสโคบาร์จึงตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจค้าโคเคนเพราะอัตรากำไรอยู่ในระดับ 18,000 – 20,000% !! อัตราส่วนกำไรแตกต่างมากขนาดที่ว่าการขายโคเคนในความจุรถบรรทุกเพียงคันเดียวยังมากกว่าการขนเหล้าและบุหรี่ 40 คันรถบรรทุกรวมกันเสียอีก

7. วางแผนดี ลงมือทำให้ดีกว่าและมุ่งมั่นหาเป้าไม่ถอย – ความยากจนขั้นสุดในวัยเด็กทำให้เอสโคบาร์แสวงหาเงินและอำนาจอย่างไม่ท้อถอย จากเด็กสลัมในเมืองโบโกต้ากลายมาเป็นผู้บงการ (Mastermind) อยู่เบื้องหลังอาณาจักรค้าโคเคนที่ยิ่งใหญ่

เค้ารู้ดีว่าตัวเค้านั้นเป็นที่ต้องการทั้งจากหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐหรือ DEA รวมถึงกองทัพโคลัมเบีย เค้ารู้ดีว่าคู่แข่งของเค้านั้นจ้องแทงจากข้างหลังในทุกโอกาสที่มี รวมถึงมีคนลอบสังหารเค้ามากมายทุกที่ทุกเวลา

แต่เค้าไม่เคยสนมันเลยเพราะเป้าหมายเดียวของเค้าคือไปให้ถึงปลายทางตามแผนที่วางไว้เท่านั้น

แชร์ได้เลยเพียงกดเบา ๆ

Leave a Comment